|
ล่องแก่งแบบมันส์ๆ ในลำน้ำแม่กลอง .. เดินป่าทุ่งใหญ่นเรศวร
"การล่องแม่น้ำแม่กลองตอนล่าง เริ่มต้นที่บ้านปะละทะ หมู่บ้านกะเหรี่ยงเก่าแก่ ที่มีสาธารณูปโภคเข้าถึง แต่ชาวกะเหรี่ยงที่นี่ยังคงแต่งกายแบบดั้งเดิม แต่ละบ้านจะทอผ้าใช้กันเองด้วยหูกทอผ้า ปลูกพืชผัก เลี้ยงหมูไก่ไว้เป็นอาหาร และเลี้ยงช้างไว้เป็นพาหนะ
การล่องในช่วงแรกสายน้ำจะราบเรียบคดโค้งตามแนวเขาแนวป่าทึบที่อุดมสมบูรณ์ ผ่านบ้านกะเหรี่ยงโคทะ ก่อนที่จะพบกับแก่งเลเกติ เป็นแก่งใหญ่และยาวหลายกิโลเมตร ผ่านน้ำตกเล็ก จนถึงแก่งคนมอง ที่มีสายน้ำหลากไหลเชี่ยว มีโขดหินจำนวนมาก แก่งสุดท้ายก็จะเป็นแก่งกะซิจิ๊เล จากนั้นจะถึงเวิ้งน้ำไหลโค้งสู่เพิงผาริมน้ำ มองเห็นน้ำตกทีลอเรไหลผ่านหน้าผาเขาหินปูนสูงลงสู่ผืนน้ำ ความยากการล่องเรือนี้จัดอยู่ในระดับ 3-4 จึงเหมาะสำหรับการล่องด้วยเรือยางมากกว่าแพไม้ไผ่ ระยะการล่องประมาณ 27 กิโลเมตร ใช้เวลา 6-7 ชั่วโมง
ขากลับจากน้ำตกไปบ้านปะละทะ ต้องเดินป่า ผ่านป่าทึบ สลับการขึ้นเขา ซึ่งอาจจะพบเห็นสัตว์บ้าง ควรนั่งช้างสลับกับการเดิน ระยะทางรวม 30 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 8-10 ช.ม." (ข้อมูลจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย)
การเดินทางระหว่างน้ำตกไปยังหมู่บ้านกระเหรี่ยง จะมี 2 สไตล์คือ เดินเท้า แบบชิลๆ ไม่สมบุกสมบันมาก แบบแค่เดินขึ้นเขาและ ลุยข้ามลำธารนับได้ประมาณ10 ลำธาร อีกสไตล์นึงคือ นั่งช้าง เกี่ยวกับการนั่งช้างก็จะมี คำเตือนอยู่ว่า....อย่าไว้ใจช้าง อย่าวางใจควาน ช้างเป็นสัตว์ที่เดาใจยากแล้ว พี่ควานก็เอาไม่อยู่ค่ะ บางเชือกวิ่งแหกคอก..ออกนอกลู่นอกทางเฉยเลย ทั้งๆ ที่มีควานคุมอยู่แท้ๆ ลูกทัวร์บางคนน่าสงสารมากโดนช้างพาบุกเข้าป่าไผ่ โดนกิ่งไม้เกี่ยวเอาหมวกที่อยู่บนหัวร่วงก็มี ก็พี่ท่านเล่นวิ่งดุ่ยๆ เข้าป่าแบบไม่สนใจคนบนหลังเอาซะเลย.....เฮ้อ งานนี้ก็ตัวใครตัวมันละกัน
|
|
|
|
ถนนลอยฟ้าเส้นแม่สอด-อุ้มผาง |
|
|
|
แก่งเลเกติหรือหลายคนให้ฉายาว่าแก่งปราบเซียน
|
|
|
|
|
มุมไฮไลท์ของน้ำตกทีลอเร |
เลยน้ำตกมานิดนึง |
น้องหมูหยอง
เพื่อนร่วมทริปที่แสนจะน่ารัก |
|
|
 |
ผืนป่าทุ่งใหญ่นเรศวรระหว่างเดินเท้าจากน้ำตกมายังหมูบ้านกะเหรี่ยงระยะทางประมาณ 30 กม. |
|
บันทึกจากทีลอเร |
เราออกเดินทางโดยรถตู้ กับ บริษัททัวร์แห่งหนึ่ง ออกจากกรุงเทพฯ 19.00 น.โดยประมาณ ของ วันศุกร์ที่ 20 ตุลาคม พอถึง จ.ตาก เราเลี้ยวซ้ายไป อ.แม่สอด วิ่งผ่านถนน เส้นตาก-แม่สอด ด้วยระยะทางที่ยาวพอสมควรรวมโค้งทั้งหมด 1,219 โคังถนนสายนี้ค่อนข้างคดเคี้ยวมากแต่ด้วยความมืด ไม่สามารถมองเห็นทิวทัศน์สองข้างทางซึ่งเป็นภูเขา และเหวลึก อันตรายสำหรับผู้ที่ไม่ชำนาญทาง
เส้นทางนี้ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่เมารถนะคะแต่ถ้าเมาความงามของธรรมชาติไม่ว่ากันอยู่แล้ว ภูมิประเทศของจังหวัดตากส่วนใหญ่เป็นที่ราบสูง เต็มไปด้วยเทือกเขาสลับซับซ้อน เหมาะสำหรับผู้ที่ชอบผจญภัยกับสายน้ำ และผู้ที่หลงใหลความงามของทะเลหมอก อีกทั้งชอบความอุดมสมบูรณ์ของป่าแถบ ตะวันตก เรียกได้ว่า ครบทุกรสชาติเลย แถมทริปนี้ได้น้องหมาร่วมทริปมาด้วยอีก 1 ชีวิต ใครๆ ก็เรียกเธอว่า "หมูหยอง"
เรามาถึงอุ้มผางฮิลล์ เช้าของ วันเสาร์ที่ 21 ตุลาคม ก็ได้เวลาอาหารเช้าพอดี โชคดีไม่มีใครมีอาการเมารถ(แต่เมากลิ่นปากหมูหยองแทน) ทั้งนี้เพราะทุกคนเตรียมตัวมาอย่างดี ใครที่รู้ว่าเมาก็จะกินยากันไว้ก่อน แต่ที่น่า ชื่นชมก็เห็นจะลูกทัวร์คน(ตัว)หนึ่งในคณะทัวร์ ไม่ใช่ใครน้องหมูหยองนี่เอง เป็นสุนัขพันธ์พุดเดิ้ล เพศผู้ที่นอกจากจะฉลาดแล้วยังต้องยกนิ้วให้ เพราะน้องหมูหยองเราไม่มีอาการเมารถเลย ลงจากรถได้นายก็เดินปร๋อเลยทำเอาใครๆ อิจฉาไปตามๆ กันเพราะมีแต่คนชมว่า หมูหยองเก่งจังเลย เราเองยังแอบอิจฉานิดๆ เลย
พอรับประทานอาหารเสร็จเรียบร้อย ก็เตรียมจัดแยก สัมภาระ เพื่อจะล่องแก่งน้ำตกทีลอเล คราวนี้ได้เห็นหน้า ผู้กองแดงตัวจริงซะทีเพราะได้ยินชื่อเสียงท่านมานาน ต้องบอกว่าเป็นผู้ใหญ่ ที่ใจดี ดูเข้มแข็ง ห้าวหาญอีกต่างหาก ผู้กองจะแนะนำวิธีการต่างๆ รวมทั้งสัมภาระที่ต้องนำไป ว่าควรนำไปเฉพาะที่จำเป็น พวกเครื่อง ประทินโฉมทั้งหลาย ไม่ต้องนำไปอยู่ในป่าไม่ต้องไปอวดโฉมให้ใครดูหรอก จะหนักเรือด้วยซ้ำไป เพราะระยะทางที่ล่องใช้เวลา 1 วัน เต็มๆ เรียกว่าล่องกันตั้งแต่ เช้า ถึงที่พักก็เย็นพอดี พอจัดแยกสัมภาระเสร็จก็เปลี่ยนขึ้นรถสองแถวไปที่หมู่บ้านปะละทะ เพื่อติดต่อควาญช้าง และเริ่มต้นล่องแก่งกันเลย
สองฝั่งลำน้ำแม่กลองสวยงามอย่างบอกไม่ถูก ถ้าได้นำกล้อง ส่องทางไกลไปด้วยคงจะดี เพราะจะเห็นนกหน้าตาแปลกๆ สีสันสวยงามมากมายหลายชนิด รวมทั้งพันธ์ไม้ต่างๆ ที่คนเมืองไม่ค่อยจะคุ้น เคยเท่าไร แก่งที่ล่องจะมีประมาณ 7 แก่ง แก่งที่มีความแรงและเสี่ยงต่ออันตรายเห็นจะเป็นแก่งเลเกติหรือแก่งปราบเซียนนี่แหละ เรายังเสียดายเลยที่ไม่ ได้ล่องเพราะเจ้าของทัวร์บอกว่า แก่งนี้อันตรายมาก อีกอย่างเรือบรรทุกทั้งคนและของเต็มลำเรือ พอใกล้ถึงแก่ง เค้าก็ให้ลูกทัวร์ทะยอยลง จากเรือแล้วเดินเลาะ ริมแก่งข้ามแก่งนี้ขึ้นข้างหน้าแทนอีกอย่างในคณะทัวร์ก็มีหลายคนที่ว่ายน้ำไม่เป็น ก็ไม่อยากเป็นภาระของเจ้าหน้าที่เค้า เราก็เลยไต่เลาะไป นั่งรอจับภาพตอนที่เจ้าหน้าที่เค้าบังคับเรือล่องผ่านแก่งแทน แต่ก็ดีเหมือนกันเพราะถ้าเราลงล่องกับเค้า เราก็ไม่มีภาพ สวยๆ มาฝากให้ชมกันจริงไม๊คะ
พอผ่านแก่งปราบเซียนมาได้ ปรากฎว่า เรือของคณะเราลำหนึ่ง เกิดรั่ว ต้องทำการซ่อมอยู่พักหนึ่ง ดีที่เค้าเตรียมอุปกรณ์ มาพร้อมไม่งั้นแย่แน่ พอซ่อมเสร็จเราก็ล่องต่อ ผ่านแก่งเล็กแก่งน้อยมาหลายแก่ง ช่วงก่อนถีงแก่งคนมอง มีคณะทัวร์อื่นล่องมา ปรากฎว่าเรือล่มค่ะ รองเท้า หมวก และสัมภาระที่ไม่ได้ผูกติดกับเรือ ก็ลอยไปกับสายน้ำบ้าง คณะเราเห็นดังนั้นอยู่เฉยไม่ได้แล้ว ช่วยกันพยายามเก็บสัมภาะให้เค้าเท่าที่จะทำได้ แถมยังเก็บคนมาอีกหนึ่งจากคณะทัวร์นั้น จากนั้นก็ล่อง ต่อด้วยใบหน้าที่สดชื่น แต่พอผ่านแก่งคนมอง เรือลำของคณะเราที่เพิ่มสมาชิกใหม่เข้ามา เกิดล่มเสียเอง คราวนี้สัมภาระของคณะเราซึ่งเป็น ของลูกทัวร์ คนหนึ่ง ได้ลอยไปกัยสายน้ำเสียแล้ว เพราะพี่เค้ามัวแต่ห่วงพาย ลืมกระเป๋าเสื้อผ้าไปเสียนี่ ทุกคนในคณะก็สังสัยพี่เค้าอยู่เหมือนกัน ว่า ทำไมแกถึงไปคว้าพายแทนจะคว้ากระเป๋า พี่เค้าก็ตอบกลับแบบงงว่า แกก็ยังงงตัวเองอยู่เหมือนกันนะเนี่ย..ทำไปได้.. กลับกลายเป็นเรื่อง โจ๊กไปเสียอีกแน่ะ
ผ่านจากแก่งคนมองมาไม่ไกลนักก็ถึงที่พัก พวกเราก็นำสัมภาระขึ้น ฝั่งเตรียมกางเต้นท์สำหรับพักค้างคืน จากนั้นพวกเรารวม 16 ชีวิตก็ลงเรือลำเดียวกัน เพื่อมุ่งหน้าไปยังจุดมุ่งหมายของเราคือ น้ำตกทีลอเล พวก เราก็ได้เก็บภาพสวยๆ ที่ทุกคนรอคอยมานาน แต่เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นกับกลุ่มเรา เชือกที่ผูกเรือของเราเกิดหลุดเลยจากน้ำตกทีลอเลไป ประกอบกับความแรงของน้ำทำให้ เรือเราโคลงเคลงไปมาอยู่พักหนึ่ง เจ้าหน้าที่ของอุ้มผางฮิลล์ และ สตาฟเองก็ช่วยกันอย่างสุดชีวิต เพราะพวก เค้ารู้ดีว่า ข้างหน้ามี อะไรรออยู่ ไม่เหมือนลูกทัวร์อย่างพวกเราไม่เคยรู้มาก่อน จึงยังหน้าชื่นตาบานกันอยู่ กลายเป็นเรื่องสนุกไป แต่ถ้าเรารู้ถึง อันตรายที่จะมา ถึงตัว เราคงยิ้มไม่ออก และอาจจะตกใจจนเสียสติเพราะความกลัวไปเลยก็ได้ เจ้าหน้าที่ช่วยกันพายทวนน้ำ พยายามประคอง เรือไม่ให้ล่ม จนสามารถนำพวกเราเข้าฝั่งได้ปลอดภัยดีทุกคน แล้วยังต้องพายทวนน้ำขึ้นไปเพื่อเอาเชือกผูกเรือแล้วพาย กลับมารับเรา ในระหว่าง ที่นั่งรอเรือมารับกลับ เราก็ได้เก็บภาพอีกมุมหนึ่งของน้ำตกทีลอเล ที่เชื่อว่าน้อยคนนักที่ได้ถ่ายภาพมุมนี้ แต่ความบังเอิญนี้ก็เกือบจะแลกมาด้วยชีวิต มาเทียวแบบนี้ถ้าไม่เจอเหตุการณ์เช่นนี้ ชีวิตก็ออกจะขาดรสชาติไปนิดจริงไม๊คะ
หลังจากรับลูกทัวร์กลับไปยังน้ำตกได้หมดแล้ว คราวนี้ต้องสาวเชือก ข้ามฝั่งเพื่อเดินกลับที่พัก เพราะเรือไม่สามารถพายทวนน้ำขึ้นไปได้ คราวนี้เราคงต้องพึ่งขาทั้ง 2 ข้างแล้วล่ะ แต่กว่าจะข้ามฝั่งไปหมดครบทุกคนก็ มืดพอดี ตอนนี้แหละเป็นช่วงที่ลำบากที่สุด ไฟฉายก็ไม่ได้เตรียมา เพราะถ้าไม่เกิดเอ็กซิเด้นท์เสียก่อน เราคงถึงพักก่อนค่ำ แต่ถึงตอนนี้ก็ต้องเดินหน้า แล้ว นึกในใจมืดก็มืดวะ แต่เราหยุดรอให้ถึงเช้าไม่ได้ เพราะนอกจากไม่มีอาหาร ที่นอนแล้ว ยังมีอันตรายจากยุงป่าอีก ทำให้พวกเราต้องลุยหน้าต่อไป เราเดินลัดเลาะน้ำตกด้วยความยากลำบาก นอกจากมองไม่เห็นทางแล้วระดับน้ำยังสูงขึ้นเรื่อยๆ แต่ได้เจ้าหน้าเค้าคอยช่วยเหลือเป็นอย่างดี สามารถ พาพวกเรากลับถึงที่พักได้ปลอดภัย ทุกคน แต่ก็ทุกลักทุเล ไปตามๆ กัน ได้แผลกลับมาบ้างตามแขนขา ตอนไต่หน้าผาหินเลาะริมน้ำตก บางจุดก็ลื่น บางจุดก็มีก้อนหินแหลมๆ ยื่นออกทำให้เราเจ็บตัวได้ไม่น้อยเหมือนกัน แต่เรามากันกลุ่มใหญ่ ไม่ใช่แค่คณะเราเท่านั้น เรายังมีเพื่อนร่วมชะตากรรม อีกหลายคนจากทัวร์ คณะอื่นด้วย แต่ทุกคนใจสู้และช่วยเหลือกันจนกลายเป็นความประทับใจไปแล้ว
กลับมาถึงที่พักก็ปาเข้าไป 2 ทุ่มครึ่ง หิวก็หิว เหนื่อยก็เหนื่อย พอจัดการ กับอาหารเย็นเสร็จก็แยกย้ายไปพักผ่อนตามอัธยาศัย คนนำทัวร์ เค้ารู้ว่า ถึงตอนนี้คงไม่มีใคร มีแก่ใจเล่นแค้มป์ไฟแล้ว เพราะกว่าเหตุการณ์นี้มาได้ ก็หมดแรงไปตามๆ กัน
รุ่งเช้าของ วันอาทิตย์ที่ 22 ตุลาคม นับเวลาได้ประมาณ 8 โมงครึ่ง เราเตรียมตัว ออกเดินเท้าผ่านป่าทุ่งใหญ่นเรศวร ด้วยระยะทาง 30 กิโลเมตรโดยประมาณ ส่วนใครยังมีร่องรอยของการบาดเจ็บ จากเหตุการณ์เมื่อคืน ก็จะถูกจับนั่งช้าง(ไม่ใช่นั่งยางนะคับพี่น้อง) โชคดีที่เมื่อคืนเราไม่ บาดเจ็บมากแค่ทลอกนิดหน่อย ไม่เกี่ยวกับกล้ามเนื้อแต่อย่างใด ทำให้เราได้เดินเท้าสมใจ เส้นทางเดินป่าจะลำบากในช่วง แรก เพราะเป็นทางขึ้นเขา ที่ค่อนข้างชัน ระยะทางยาวพอสมควร แถมดินก็เละ เหนียวหนืดเป็นบางช่วง ทำให้เราต้องใช้แรงมากกว่าปกติ ลูกทัวร์ใน คณะเราบางคนต้องถอดรองเท้าเดิน เพราะน้ำหนักที่เพิ่มจากดินที่ติดรองเท้าทำความลำบากเราพอสมควร ระหว่างทาง ที่เดินจะพบเห็นดอกไม้ป่า หลายชนิดที่เราไม่คุ้นเคย รวมทั้ง ดอกกระเจียวป่า สีส้มสด สวยงามทีเดียว
นอกจากนี้ยังได้ลุยผ่านน้ำตกหลายแก่ง งดงามมากในฤดูฝน น้ำมากและ สวยอย่างบอกไม่ถูก ต้องได้มาเห็นเองแล้วจะรู้ว่า เมืองไทยเรามีป่าที่อุดมสมบูรณ์ อันเป็นต้นกำเนิดของลำธารหลายสาย ที่งดงามและควรค่าแก่การอนุรักษ์แค่ไหน งานนี้น้องหมูหยองเราก็เดินเท้า ด้วยเหมือนกันไม่ยอมน้อยหน้าใครเลยนะ เรื่องของเรื่องก็คือ เค้านั่งช้างไม่สะดวกค่ะ เพราะกลัวช้างตกใจเสียงของเธอเดี๋ยวจะพาเตลิดไปใหญ่ เราเดินกันตั้งแต่เช้า หยุดพักทานข้าวเที่ยงกันประมาณครึ่งชั่วโมง จากนั้นก็เดินทางต่อ ขึ้น-ลงเนินเล็กๆ สลับกับลุย ข้ามลำธารเป็นช่วงๆ
เราเดินต่ออีกประมาณครึ่งวันก็โผล่พ้นป่าพอดี เข้าเขตหมู่บ้านปะละทะแล้ว ทุกคนโล่งใจที่เดินพ้นป่าก่อนมืด นับเวลาได้ประมาณ 17.30 น รถสองแถวมารอรับเรากลับที่พัก ได้เวลาอาหารเย็นพอดี หลังจากอาหารมื้อนี้ก็มีคาราโอเกะต่อ ในระหว่างที่เรากำลังสนุกกับการร้องเพลงอยู่ ก็เหลือบไปเห็น เพื่อนคณะทัวร์อื่น ซึ่งกรุ๊ปนนี้ไป น้ำตกทีลอซูมา แต่ละคนเดินขากระเพลกมาเลย เราสงสัยก็ เลยถามว่า ทำไมเป็นแบบนี้ล่ะเพราะ เดินป่าเส้นทางนี้ระยะทางจะสั้นกว่าป่าทุ่งใหญ่ที่เราไปมาด้วยซ้ำ เค้าก็เลยสาธยายให้ฟังว่า ทางเดินยากลำบากมาก ดินเหนียวหนืดเป็นระยะ ทาง ยาวประมาณ 11 กิโลเมตร เราก็เลยถึงบางอ้อ จากนั้นเราก็ร้องเพลงต่อกันจนประมาณ 5 ทุ่มเศษ ก็แยกย้ายกันไปพักหลังจากลุย กันมาทั้งวัน
เช้า วันจันทร์ที่ 23 ตุลาคม เราเตรียมเก็บสัมภาระเพื่อออกเดินทางต่อ หลังจากอาหารเช้า ไม่ยักกะมีใครบ่นอยากไปดอยหัวหมดแฮะ สงสัยจะยังไม่ฟื้นจากการเดินป่ามาทั้งวัน เรานั่งรถกลับเส้นทางเดิมอีกแหละแต่ขากลับ เราได้เห็นธรรมชาติสองข้างของถนนที่สวยที่สุดสายหนึ่งก็ว่าได้ นามว่า ถนนลอยฟ้า ถ้าใครได้มา เที่ยวจะรู้ว่าทำไมถึงได้ชื่อว่าถนนลอยฟ้า เพราะอยู่สูง เป็นถนนที่ติดเลียบเขาหลายลูกนับไม่ถ้วนทีเดียว แถมทิวทัศน์สองข้างยังสวยอย่างบอกไม่ถูก ถ้ามาแล้ว ไม่ได้ถ่ายรูปเก็บไว้ล่ะก็ เหมือนไม่ได้มาจริงๆ นะ เรามาแวะเล่นน้ำตกที่มีชื่ออีกแห่งหนึ่งของเมืองตาก คือน้ำตกพาเจิรญ และ ไหว้ศาลพระวอ ซึ่งเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวเมืองตากนับถือมาก รวมทั้งนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวและต้องผ่านเส้นทางนี้ก็อดไม่ได้ที่จะ แวะสักการะศาล แห่งนี้ จากนั้นเราก็แวะทานข้าวและซื้อของฝากที่ตลาดริมเมย จาก อ.แม่สอดมุ่งหน้าสู่ อ.มืองตาก ไประยะหนึ่งจะเห็น อุทยานแห่งชาติตากสินมหาราช อยู่ทางซ้ายมือของเรา เค้าบอกว่ามีต้นกระบากใหญ่ เป็นต้นกระบากที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยเลย วัดรอบโคนต้นได้ประมาณ 16.5 เมตร แต่ทางขึ้นลง ลำบากเหลือหลายรวมแล้ว 800 เมตรพอดี แต่ ทางเดินชันมาก เราเคยอ่านนิตยสารเล่มหนึ่งเขาพูดเปรียบว่า เวลาไปเหมือนนกกระติ๊ดร่าเริง แต่พอขากลับ ขึ้นมาเหมือนแร้งแก่ใกล้โคม่า เค้าพูดไว้ ไม่ผิดจริงๆ เพราะเราได้พิสูจน์มาด้วยตัวเอง(หลังจากทริปทีลอเล) เลยจากอุทยานตากสินฯ ไปหน่อยก็จะเห็น อุทยานแห่งชาติลานสาง ข้างในจะ มีบ้านพักและน้ำตกสวยงามอีกแห่งหนึ่งของ จ.ตาก จากจุดนี้ไปเราก็เดินทางกลับกรุงเทพฯ และถึงกรุงเทพฯ 2 หรือ 3 ทุ่ม โดยประมาณ เป็นอันเสร็จสิ้นภารกิจเสียที เรียกว่าคุ้มค่ากับเวลาที่เสียไปจริงๆ ความงามของธรรมชาติที่เราได้สัมผัสทำให้เราลืมความเหน็ดเหนื่อยไปเลย
****************************************************************** |
|
|
|