Trip Experience
North &
North East
Central
พระนครศรีออยุธยา
อุทัยธานี
East - West
ตาก-น้ำตกทีลอเร
นครปฐม
 
South
 
Events & Festivals
 
 
 
 
 
 
บันทึกจากเชียงใหม่ถึงกิ่วแม่ปาน-เยี่ยมน้องหลินปิง
  • 31 มากราคม 2556 วันแรกของการเดินทางล้อเริ่มหมุนที่สมบัติทัวร์ ถนนวิภาวดี ประมาณสามทุ่มครึ่งของวันที่ 31 มกราคม ต้องบอกว่ารถใหม่ นั่งสบายเป็น วีไอพี 24 ที่นั่ง มีจอวีซีดีส่วนตัวใครอยากดูหนังฟังเพลงก็เลือกได้ตามใจชอบ ค่ารถต่อเที่ยวก็ประมาณ 800 กว่าบาท รวมขาไปและ กลับก็ประมาณพันกว่าบาท







  • 1 กุมภาพันธ์ เรามาถึงสถานีขนส่งอาเขต 3 ของเชียงใหม่ราวเจ็ดโมง ก็เหมารถตุ๊กๆ เค้าเรียกเรา 180 บาทเราต่อเหลือก 150 บาท ตอนั่งรถตุ๊กๆ ออกไป เราเห็นมีรถสองแถวสีแดง จอดอยู่บริเวณด้านหน้าสถานีขนส่งคิดว่ายังไงก็ถูกกว่า คราวหน้าคงไม่ได้กินเราแน่..55 เราว่าไปส่งที่โรงแรมท็อปนอร์ธอยู่ใกล้ประตูท่าแพนิดเดียวริมถนนมูลเมือง ก็สะดวกดี ออกมาจากโรงแรม ก็เจอถนนคนเดินเลย

  • เรามาถึงโรงแรมแล้วก็ติดต่อเรื่องห้องพักให้จบ จ่ายส่วนที่เหลือ เนื่องจากเราโอนเงินมาส่วนหนึ่งเพื่อเป็นค่ามัดจำ
    ไม่เช่นนั้นคงหาที่พักไม่ได้แน่เพราะเป็นช่วงที่มีงานเทศกาลไม้ดอกไม้ประดับ 1-3 กุมภาพันธ์พอดี เราฝากกระเป๋าไว้ที่ โรงแรมก่อนเนื่องจากต้องรอลูกค้าเช็คเอ้าท์ตอนเที่ยง ระหว่างนั้นเราก็ติดต่อรถที่จะเหมาขึ้น อินทนนท์เพื่อไปเดินกิ่วแม่ปานในวันรุ่งขึ้น ที่โรงแรมเค้ามีบริการเรื่องทัวร์ไว้รองรับนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะเป็นส่วนของ ท็อปนอร์ธทัวร์ เราติดต่อเจ้าหน้าที่ของโรงแรมซึ่งเค้าจะตั้งบูทอยู่ใกล้ กับฟร้อนท์ ตกลงราคากันที่ 2,200.บาท (รวมค่านั้ำมันแล้ว) เหมาทั้งวันอยากไปไหนบอกได้ คนรับเรื่องชื่อคุณอู๊ด ออกใบเสร็จให้เราเรียบร้อยเป็นอันจบเรื่องรถไป จากนั้นเราก็ไปเดินหาของอร่อยทานสำหรับมื้อเช้าไปเจอก๋วยเตี๋ยวร้านหนึ่งออก จากโรงแรมเลี้ยวซ้ายไปประมาณ 300 เมตร ก็อร่อยใช้ได้ มีบะหมี่หมูแดง,ข้าวหมูแดง และข้าวซอย








  • เมื่อท้องอิ่มก็ถึงเวลาเดินทางไปหาน้องหลินปิงแล้ว เราโบกรถสองแถวสีแดงไป สวนสัตว์เชียงใหม่ ค่ารถคนละ 30 บาท รถจะวิ่งไปตามถนน มูลเมืองแล้วซ้าย เข้าถนนห้วยแก้ว ไปเรื่อยๆ จนถึงที่หมายลง เราก็ซื้อตั๋วเข้าสวนสัตว์คนละ 70 บาทสำหรับผู้ใหญและเดินเท้าเข้าไปนิดนึงก็จะเจอที่ขายตั๋วรถ Monorail ค่าตั๋ว 100 บาทนั่งได้ทั้งรถรางและ Monorail(รถไฟฟ้า) จากจุดนี้เราก็นั่งรถรางเป็นอันดับแรก ไปลงที่ทางเข้าสวนหลังบ้านของครอบครัวแพนด้า และซื้อบัตรเข้าชม น้องหลินปิงอีก 50 บาท วันนี้น้องหลินปิงออกสวนหลังบ้านได้ดูกันอย่างใกล้ชิด ต้องบอกว่าตัวจริงน่ารักมาก เหมือนเค้าจะรู้เวลานักท่องเที่ยวมา เค้าจะออกมาต้อนรับ มาโชว์ให้เห็นใกล้ๆ โพสต์ท่าให้ถ่ายรูป เป็นขวัญใจของทุกคนที่ได้เข้าไปชม ความดังของน้องเค้าไม่แพ้ดาราดังๆ ของเมืองไทยเลยล่ะ

  • วันนี้ได้เจอพี่เลี่้ยงคือคุณต้อมและคุณไก่ ออกมาป้อนไผ่ให้น้องหลินปิงแบบตัวเป็นๆ กันเลย เราก็กดชัตเตอร์แบบไม่ยั้งถ่ายทุกอิริยาบถของ น้องหลินปิงเลย เค้าจะออกสวนหลังบ้านตลอดเดือนกุมภาพันธ์ ตั้งแต่ 8.30 ถึง 10.00 น. พอสิบโมงก็ได้เวลาที่หลินปิงกลับเข้าข้างไปในส่วนจัดแสดงเพราะอากาศเริ่มร้อนแล้ว เป็นห้องแอร์เย็นสบายเราก็ตามเข้าไปดูต่อ ได้ดูแม่ฮุ่ยและพ่อช่วงซึ่งกำลังหลับต่างหมีต่างหลับ ดูจนพอใจก็สมควรแก่เวลาแล้วก็นั่งรถรางวนดูรอบๆ แล้วก็ต่อด้วยรถไฟฟ้าอีกรอบเป็นอันจบทริปเยี่ยมบ้านสามหมี จากนั้นก็กลับโรงแรมเข้าเช็คอินท์ตอนเที่ยงเศษๆ




  • หลังจากเช็คอินท์เรีอยบร้อยเป็นห้องเดอลุกซ์ ราคาห้องคืนละ 1,500.- บาท เราพัก 2 คืน ห้องพักสวยสะอาด ห้องน้ำก็โอเคสะอาดดี จัดของเสร็จ เราออกจากโรงแรมเพื่อ ทานอาหารมื้อเที่ยง เจอร้านมังสวิรัตอร่อยใช้ได้ ราคาพอสมควร หลังจาทานมื้อเที่ยงแล้วก็ออกเดินเท้าผ่านประตูท่าแพเพื่อจะไปตลาดวโรรส เดินเลียบถนนท่าแพไปเรื่อยๆ เดินระยะทางเท่าไรไม่ได้คำนวน
    แต่ก็ได้เหงื่อพอสมควร ตลาดนี้เป็นที่จำหน่ายของฝาก ทัวร์เกือบทุกที่จะต้องพานักท่องเที่ยวมาแวะเป็นประจำ เราก็เดินรอบตลาดเห็นแล้ว ก็เหมือนทุกครั้ง ไม่รู้จะซื้ออะไรแค่เดินดูไปเรื่อยๆ ขากลับเดินกลับทางเดิมมาออกประตูท่าแพอีกครั้ง บริเวณนี้จะมีตลาดนัด และเป็นนัดพิเศษ เพราะจัดเฉพาะงาน มหกรรมไม้ดอกไม้ประดับครั้งที่ 37 นี้โดยเฉพาะ ของที่นำมาขายส่วนใหญ่จะเป็นงานฝีมือที่ชาวเชียงใหม่และ ชาวเขาทำกันและนำมาขาย เหมือนกับถนนคนเดินวันอาทิตย์ แต่ของจะน้อยกว่า งานนี้จัดแสดงตรงลานด้านหน้าประตูท่าแพเลยเนื่องจาก วันนี้เเป็นวันแรกของงานมีวงดุริยางค์ของนักเรียนและมีการแสดงของเด็กเล็ก ส่วนในวันพรุ่งนี้คือวันที่ 2 กุมภาพันธ์ จะมีขบวนแห่รถบุปชาต ขบวนเริ่มเดินจากสะพานแก้วนวรัฐไปตามถนนคชสารแล้วไปจบที่สวนบวกหาด

  • 2 กุมภาพันธ์ เราตื่นเช้าเพื่อลงมารับประทานอาหารเช้าที่โรงแรมจัดให้ เป็น breakfast ทั่วไป ประมาณแปดโมง รถที่เราจองไว้ก็มารับเพื่อไปอินทนนท์ วันนี้คุณอู๊ดขับรถเก๋งมาเอง ทริปนี้มีเรากับพี่สาว 2 คนเอง ก็เลยใช้รถเก๋งสะดวกดี(สำหรับคนที่ขับรถเป็นก็เช่าแต่รถและขับไปเองได้เลย) คุณอู๊ดขับรถพาขึ้นอินทนนท์โดยใช้เส้นทางสันกำแพงมาออกที่จอมทอง(เห็นถนนตัดใหม่กำลังทำอยู่ อีกไม่นานคงได้ใช้แน่เพราะเป็นทางลัดระยะทางเพียง 13 กม.ตัดออกมาจอมทองได้เลย) เราขึ้นมาถึงด่านเก็บค่า ธรรมเนียมของ อช.ดอยอินทนน์ ค่าผ่านประตูคนละ 40 บาทและ รถหนึ่งคันอีก 50 บาทส่วนไกด์คือคุณอู๊ดไม่ต้องเสีย เพราะเป็นมัคคุเทศน์ของโรงแรม รถวิ่งมาตามถนน โค้งไปตามภูเขาจนมาถึงกิ่วแม่ปาน จากนั้นก็ติดต่อเจ้าหน้าที่ ของหน่วยกิ่วแม่ปาน ซึ่งจะมีคนนำทางเสียค่าธรรมเนียมคนนำทาง 200 บาทต่อกรุ๊ป กรุ๊ปเรามี 3 คนคือเราพี่สาวและคุณอู๊ด คุณอู๊ดเปรยกับเราว่าเป็นคนเชียงแต้ๆ แต่ยัง ไม่เคยมาเดินที่กิ่วแม่ปานเลย คราวนี้ก็เลยได้โอกาสแถมยังช่วยเราจ่ายค่าคนนำทางอีก นอกจากจะเป็นคนมีน้ำใจ สุภาพ อัธยศัยดี ยังชอบทานอาหารมังสวิรัตอีก หายากนะเนี่ย เห็นว่าทานกันทั้งครอบครัวรวมถึงแฟนกับลูกสาวด้วย..อนุโมทนาบุญด้วยนะคะ

  • กิ่วแม่ปานระยะทางประมาณ 3-4 กม.ใช้เวลาเดินเท้า 2-3 ชม.ขึ้นอยู่กับผู้เดิน การเดินจะเดินเป็นวงกลมไม่ย้อนกลับทางเดิม วันนี้เราได้
    navigator เป็นหนุ่มน้อย นามว่า ซาน เป็นคนนำทางให้เรา
  • พร้อมอธิบายพืชพันธ์ไม้ต่างๆและคอยดูแลพวกเราตลอดการเดินเท้า ระหว่างเดินทางเข้ากิ่วแม่ปานจะผ่านป่าทึบที่ปกคลุมไปด้วยไม้ใหญ่ มีมอส ไลเค่น และเฟรินเห็นได้ทั่วไป (ป่าใส่เสื้อ) ทางที่เดินไปจะมีบันไดปูนเป็ช่วงๆ จะเหนื่อยหน่อยตอนเดินขึ้น เพราะเวลาขึ้นจะขึ้นเป็นระยะทางยาว ได้เหงื่อไปตามๆ กัน เสื่้อกันหนาวที่ใส่มาเริ่มจะไร้ประโยชน์ เราเดินขึ้นๆ ลงๆ แบบนี้ อยู่หลายช่วง สักพักก็จะออกพ้นป่าทึบ สู่ทุ่งโล่งลักษณะเหมือนทุ่งหญ้าสะวันน่า ช่วงเดือนธันวาคม-มกราคม จะมีสีเหลืองทองสวยงามมาก ตอนเราไปเริ่มเป็นสีน้ำตาลแล้ว เดินตามทุ่งโล่งไปจนถึงจุดชมวิวจะมีระเบียงหกเหลี่ยมซึ่งเป็นจุดไฮไลท์ ของที่นี่ นักท่องเที่ยว ก็จะไปยืนถ่ายรูปและใช้เวลาอยู่ตรงนี้ค่อนข้างนาน ทิวทัศน์ที่นี่สวยและบริสุทธิ์ เราสามารถสูดหายใจได้เต็มปอดแบบ ไม่ต้องเกรงใจใคร อากาศบริสุทธิ์อย่างนี้ อยากได้ต้องมาเองค่ะ เมื่อกดชัตเตอร์กันจนพอใจก็เดินเลาะเลียบไปตามสันเขา ซึ่งปลอดภัยไร้กังวล เพราะเจ้าหน้าที่เค้ามาทำรั้วเตี้ยๆ กันไว้ให้ดูกลมกลืมกับ ธรรมชาติโดยไม่เสียทัศนียภาพและความงามแต่อย่างใด เดินต่อไปอีกหน่อยก็ปะกับต้น กุหลายพันปี(คำแดง) ขึ้่นเรียงรายตามสันเขา ในระหว่างเดินจะมีหมอกปลิวมาเป็นระยะๆ เวลาจะถ่ายภาพก็ต้องรอให้หมอกจางจนเห็นหุบด้านล่าง ถ้าอากาศดีๆ มีแดดออก อาจจะโชคดีได้เห็นเลียงผามานอนอาบแดดบน โขดหินด้านล่าง แต่วันนี้เราไม่มีโชคค่ะ เพราะอาทิตย์เกิดอายขึ้นมา ไม่ยอมมาปรากฎกาย ทำไงได้ธรรมชาติก็ยังงี้แหละต่อให้มีเงินล้านก็ไม่สามาถซื่้อได้ ถ้าคนเราซื่อตรงเหมือนธรรมชาติก็คงดีนะ บ้านเมืองเราคงจะดีกว่านี้มาก..บ่นซะงั้น



  • เราเดินทางถึงจุดที่จะเห็นพระธาตุ 2องค์คือพระมหาธาตุนภเมทนีดลและพระมหาธาตุนภพลภูมิสิริเป็นพระธาตุที่ทางกองทัพอากาศร่วมกับ พสกนิกรชาว ไทยทั่วประเทศ ร่วมใจสร้างถวายแด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงเจริญพระชนมายุครบ 60 พรรษา เมื่อปีพุทธศักราช 2530 และเทิดพระเกียรติแด่ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในมหามงคลสมัยที่ทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 5 รอบเมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2535
    เราหยุดรอตรงจุดที่จะมองเห็นพระธาตุ 2 องค์พร้อมๆกันในมุมเดียว แต่แล้วหมอกสีขาวก้อนใหญ่ ก็ลอยมาบดบัง ทัศนียภาพอันงดงาม เราก็รอยู่จนหมอกจางลง และเก็บภาพได้ไม่เต็มที่ ประจวบกับฟ้าคำรามเสียงดังมาอยู่ไม่ไกลเท่าไรนัก เราก็เลยต้องรีบกลับ กลัวฝนตกหนักแล้วจะเดินลำบากเพราะทางเดินจะลื่นและเดินยาก อาจจะเป็นภาระกับคนนำทาง จากนั้น เราเดินกลับเข้าป่าทึบอีกครั้งก่อนจะมาถึง จุดสิ้นสุด(จุดเริ่มต้น)








  • เราออกจากกิ่วแม่ปานก็แวะตลาดดอยมูเซอ ซึ่งจะมีผลไม้นานาชนิดโดยเฉพาะสตรอเบอรี่ที่นี่อร่อยนุ่มลิ้นไม่กรอบแข็งเหมือนที่ กทม.แถมยัง ถูกตังค์กว่าเยอะ เมื่อช้อปกันจนพอใจก็ได้เวลากลับเข้าเมืองเชียงใหม่ซะที เราขับไปตามถนนวัวลาย มาออกทางสวนบวกหาดซึ่งเป็นที่จัดแสดงพันธ์ไม้ต่างๆ และเป็นจุดที่ขบวนรถบุปผชาติของ หน่วยงานต่างๆ จอดแสดงอยู่ เราก็ตามเก็บภาพทุกคันแต่ละคันตกแต่งได้สวยงาม (งานนี้ถือเป็นของแถมเพราะทริปนี้เราตั้งใจมาเดินกิ่วแม่ปานโดยเฉพาะ) เดินดูดอกไม้สวยๆ ที่เค้าจัดแสดงและจำหน่ายไปเรื่อยๆ ชักเริ่มหิวแล้ว มองหาร้านขายของกินที่มาตั้งในงาน เห็นร้านขายข้าวซอยอยู่ร้านนึง ไม่มีโต๊ะแบบทั่วไป แต่่ใช้นั่งยองๆ ข้าวซอยก็อร่อยใช้ได้ แถมด้วย ไก่ทอดข้าวเหนียวอิ่มแปร้เลยเรา เมื่อท้องอิ่มมือก็เริ่มกดชัตเตอร์ต่อได้อีก เดินไปสักพักก็เจอเจ้าโรตี มันช่างยั่วยวนอะไรเช่นนี้ ว่าแล้วก็สอยมาหนึ่งถาดเป็นโรตีใส่ไข่ เม็ดมะม่วงและลูกเกด โอ..แม่เจ้า อิ่มไปถึงเย็นเลยนะเนี่ย รู้สึกท้องเริ่มแน่นแล้ว ต้องเดินต่ออีกหน่อยเพื่อย่อยส่วนที่กินก่อนหน้าซะหน่อย โอยข้าวซอยกับข่้าวเหนียวไก่ทอด ยังย่อยไม่หมด....อาการที่ว่าท้องอิ่มแต่ปากอยากก็เป็นแบบนี้เอง


  • เดินย่อยได้สักพักเริ่มตึงน่องแล้ว สงสัยกิ่วแม่ปานเริ่มทำงานแล้ว ขากลับก็เลยต้องโบกรถสองแถวไปลงที่ประตูท่าแพจ่ายค่ารถไปคนละ 30 บาทถึงหน้า โรงแรมพอดีเข้าที่พักได้ ก็ขอพักขาซะหน่อยวันนี้ใช้งานเยอะแล้ว กะว่าเย็นๆจะไปหาอะไรทานตรงประตูท่าแพแต่แล้วก็ไม่ได้ไปเพราะฝนเทลงมาตั้งแต่ เย็นถึงค่ำเลย ทราบมาว่า ก่อนเรามาถึงเชียงใหม่ 1-2 วันมีพายุเข้าทำเอาต้นไม้ใหญ่ในโรงแรมโค่นลงมาทับรถของลูกค้าที่มาจอดพักอยู่ทางโรงแรมก็ รับผิดชอบทุกอย่าง ป้ายโฆษณาตามทางก็พังไปหลายป้าย นับว่าโชคดีวันที่เรามาถึงและระหว่างที่พักอยู่ที่นี่เราไม่เจอพายุฝนเลย อากาศดีมาก ในตอนกลางวันส่วนกลางคืนก็เป็นฝนธรรมดาเย็นสบายไม่มีลมแรง วันนี้เราใช้พลังงานไปเยอะตั้งแต่เดินเทรลที่กิ่วแม่ปานด้วยระยะทาง 3-4 กม. เดินช้อปตลาดนัดและเดินชมไม้ดอกไม้ประดับฯ ที่เค้านำมาจัดแสดงและจัดจำหน่ายในงาน เป็นอันว่า...คืนนี้เราก็หลับสบายจนถึงเช้าเลย

  • 3 กุมภาพันธ์ วันที่สามของการเดินทาง วันนี้เราตื่นเช้าอีกเช่นเคย หลังอาหารมื้อเช้าที่โรงแรมเราเช็คเอ้าท์ออกจากโรงแรมประมาณแปดโมงครึ่ง ออกมาโบกรถสองแถว สีแดงหน้าโรงแรม เลือคันที่ไปสถานีขนส่งอาเขต วันนี้ค่ารถคนละ 40 บาท ต่ละสายค่ารถจะไม่เท่ากันและจะวิ่งเส้นทางแตกต่างกันไป จะไปไหนก็ถามเอาว่าไปเส้นทางที่เราจะไปหรือเปล่า หรือไม่ก็เหมาและตกลงราคากันกับเจ้าของรถสองแถวไปเลย
    เราขึ้นรถทัวร์ประมาณสิบโมงเช้า นับเป็นครั้งแรกที่เรานั่งรถกลับในตอนกลางวัน ก็ไม่รอช้าที่จะเก็บภาพวิวสวยๆ ระหว่างทางที่วิ่งผ่านเมืองเชียงใหม่ ลำปาง ตากและกำแพงเพชร มาฝากกัน..ก็เป็นอันจบทริป เชียงใหม่-กิ่วแม่ปาน-เยี่ยมบ้านสามหมี แถมด้วยงานมหกรรมไม้ดอกไม้ประดับเป็นผลพลอยได้ไปอีกงาน

 
  thenatureline@gmail.com
Copyright©2014 Thenatureline.com All rights reserved.